วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

การเรียนการสอนครั้งที่ 14



วันอังคาร  ที่ 24 เมษายน 2561


การทำอาหารสำหรับเด็กปฐมวัย


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ภาพ การ์ตูน น่า รัก ๆ เคลื่อนไหว
กลุ่มฉันทำอาหาร




 อาหารคาว ผัดมักกะโรนี






อาหารหวาน ฟักทองแกงบวด








ท้ายคาบมีการรวบรวมเก็บใบปั้ม นับดาวแจกของ











ประเมิน
ประเมินอาจารย์        อาจารย์สอนสนุกเข้าใจง่าย
ประเมินเพื่อน            เพื่อนตั้งใจเรียน มาตรงเวลา
ประเมินตนเอง          ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน มาเรียนตรงเวลา

การเรียนการสอนครั้งที่ 13

วันอังคาร  ที่ 10 เมษายน 2561

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ภาพ การ์ตูน น่า รัก ๆ เ


วันนี้อาจารย์แจกกระดาษให้แต่ละกลุ่ม กลุ่ม 2 แผ่น แล้สสี 1กล่อง









แล้วก็มีการสอนเนื้อหาเพิ่มเติม









ประเมิน
ประเมินอาจารย์        อาจารย์สอนสนุกเข้าใจง่าย
ประเมินเพื่อน            เพื่อนตั้งใจเรียน มาตรงเวลา
ประเมินตนเอง          ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน มาเรียนตรงเวลา

วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2561

การเรียนการสอนครั้งที่ 12

การเรียนการสอนครั้งที่ 12



วันอังคารที่  3 เมษายน 2561



อาหารและโภชนาการสำหรับเด็ก




อาจารย์ได้แบ่งกลุ่ม 9 คน ให้แต่ละกลุ่มทำอาหาร 2 อย่าง มีอาหารคาว 1 อย่าง อาหารหวาน 1 อย่าง





ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ภาพ การ์ตูน น่า รัก ๆ เ

ประเมิน
ประเมินอาจารย์        อาจารย์สอนสนุกเข้าใจง่าย
ประเมินเพื่อน            เพื่อนตั้งใจเรียน มาตรงเวลา
ประเมินตนเอง          ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน มาเรียนตรงเวลา


วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561

การเรียนการสอนครั้งที่ 11

การเรียนการสอนครั้งที่ 11


วันอังคาร ที่ 27 เดือน มีนาคม พ.ศ.2561

วันนี้อาจารย์ได้ให้ออกมานำเสนองานที่บแต่ละกลุมได้ไปสัมภาษณ์ครูที่โรงเรียนต่าง ๆ
ว่ามีการเรียนการสอนอย่างไร ครูมีบทบาทอย่างไร




ประเมิน
ประเมินอาจารย์        อาจารย์สอนสนุกเข้าใจง่าย
ประเมินเพื่อน            เพื่อนตั้งใจเรียน มาตรงเวลา
ประเมินตนเอง          ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน มาเรียนตรงเวลา

การเรียนการสอนครั้งที่ 10

การเรียนการสอนครั้งที่ 10


วันอังคาร ที่ 20 เดือน มีนาคม พ.ศ.2561


รื่องที่เราเรียนกันในวันนี้มี ดังนี้
แนวทางการจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้
ความหมายของสิ่งแวดล้อม
1. สิ่งแวดล้อมภายในตัวบุคคล (implicit environment)  ได้แก่
การทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบย่อยอาหาร
ระบบขับถ่าย ระบบต่อมไร้ท่อ เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมภายนอก (explicit environment) ได้แก่

สิ่งแวดล้อมที่อยู่ภายนอกกายของมนุษย์ เช่น วัตถุสิ่งของ คน พืช สัตว์ กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดจากคนและสัตว์ รวมไปถึงสิ่งที่เป็นนามธรรม (abstract) ได้แก่ ศีลธรรมจรรยา ขนบธรรมเนียมประเพณีในสังคมด้วย

ความสำคัญของสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมมีความหมายและความสำคัญต่อเด็กเล็ก คือ
เด็กได้รับการฝึกอบรมให้รู้จักบทบาทต่างๆ ในสังคม ทั้งในวัยเด็ก
และวัยผู้ใหญ่ไปพร้อมๆ กัน กระบวนการของการอบรมให้คนเป็น
สมาชิกของสังคมนั้น จะขึ้นอยู่กับเจตคติ ความคาดหวัง และค่านิยม

ของสังคมที่คนๆนั้นเกี่ยวข้องด้วย 

ปัจจัยของสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของเด็ก
ปฐมวัยมีดังนี้
1. ประสบการณ์ที่เด็กได้รับจากการตอบสนองความต้องการพื้นฐาน
2. ประสบการณ์ที่ได้จากการสร้างสัมพันธภาพในครอบครัว
3. ประสบการณ์ที่เด็กได้รับจากสัมพันธภาพทางสังคม

4. ประสบการณ์ที่ได้รับความสะเทือนใจมาตั้งแต่วัยเด็ก


ความหมายของคำว่า จริยธรรมไว้ในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ดังนี้
“จริยธรรม คือ หลักแห่งการประพฤติ ปฏิบัติที่ดี ที่เหมาะที่ควร”
“จริยธรรม คือ หลักคำสอนที่ว่าด้วยแนวทางการประพฤติที่เป็นหลักการและเป็นที่ยอมรับนับถือ”
ทฤษฎีจริยธรรมตามแนวคิดการให้เหตุผลเชิงจริยธรรม
โคลเบอร์ก 
เป็นนักจิตวิทยาที่อธิบายถึงจริยธรรมของคนที่พัฒนาขึ้นไปพร้อม ๆ กับความสามารถในการคิดเชิงเหตุผล โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ ระดับก่อนกฎเกณฑ์ ระดับกฎเกณฑ์สังคม และระดับเลยกฎเกณฑ์ของสังคม สำหรับเด็กปฐมวัย จะอยู่ในขั้นแรกของทฤษฎีคือ ระดับก่อนกฎเกณฑ์ เด็กวัยนี้จึงตัดสินความถูกผิดจากความรู้สึกของตนเอง และตามกฎเกณฑ์ที่ ผู้อื่นกำหนดโดยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การหลีกเลี่ยงการลงโทษและการทำตามคำสั่ง เด็กวัยนี้จะประพฤติตนตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพราะหลีกเลี่ยงการลงโทษความถูก ผิด ตัดสินโดยพิจารณาผล ถ้าถูกลงโทษถือว่าทำไม่ดีเด็กวัยนี้จึงยังไม่มีเหตุผลในการตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ นอกจากปฏิบัติตามคำสอนของผู้ใหญ่
  ขั้นตอนที่ 2 การปฏิบัติเพื่อมุ่งหวังรางวัลส่วนตัว              
 เด็กจะนำความต้องการของตนมากำหนดสิ่งที่ถูกและผิด ถ้าหากปฏิบัติสิ่งใดแล้วได้รางวัลก็จะยึดถือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้นการชมเชยและให้รางวัลเมื่อเด็กทำในสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสม จึงเป็นวิธีสอนจริยธรรม ความประพฤติให้กับเด็ก เนื่องจากเด็กยังไม่สามารถตัดสินสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยเหตุผลของตนเอง


สกินเนอร์ (Skinner) นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม เป็นผู้เสนอทฤษฎีที่มีความเชื่อว่าพฤติกรรมของคนเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ผลจากการแสดงพฤติกรรมนั้นจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าพฤติกรรมนั้นจะมีแนวโน้มเกิดขึ้นอีกหรือไม่ในสถานการณ์ที่คล้ายกับสถานการณ์เดิม ถ้าเกิดขึ้นอีกจะเรียกผลพฤติกรรมนั้นว่า การเสริมแรงทางบวก แต่ถ้าไม่เกิดขึ้นอีกเรียกผลของพฤติกรรมนั้นว่า การลงโทษ การอธิบายถึงการเรียนรู้ด้านจริยธรรมผ่านกระบวนการเสริมแรงและการลงโทษ หากเด็กแสดงพฤติกรรมที่ดีแล้วได้รับการชมเชย ยกย่อง คือ เด็กจะแสดงพฤติกรรมนั้นซ้ำอีก แต่หากแสดงพฤติกรรมใดแล้วถูกลงโทษ เด็กจะระงับหรือหยุดการกระทำนั้น ๆ ดังนั้นการเรียนรู้พฤติกรรมจริยธรรมของเด็กจึงขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ที่จะตัดสินว่า พฤติกรรมใดเป็นพฤติกรรมทางจริยธรรมที่เหมาะสม แล้วนำมาใช้ในการอบรมปลูกฝังเด็ก
แบนดูรา (Bandura) นักจิตวิทยาสังคม อธิบายว่า พฤติกรรมส่วนใหญ่ของคนในสังคมเกิดจากการเรียนรู้ โดยการสังเกตจากตัวแบบ ทั้งตัวแบบในชีวิตจริง หรือตัวแบบที่เป็นสัญลักษณ์ ทั้งนี้ตัวแบบจะทำหน้าที่ทั้งสร้างหรือพัฒนาพฤติกรรมจริยธรรม และจะทำหน้าที่ในการระงับ พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เด็กปฐมวัยจึงเรียนรู้พฤติกรรมจริยธรรมจากตัวแบบ ผู้ใหญ่และสังคมจึงเป็นตัวแบบที่เด็กดูสังเกตและลอกแบบ การสอนจริยธรรมในแนวคิดนี้คือ การสร้างและเลือกตัวแบบที่ดีให้เด็กได้สังเกต สำหรับกระบวนการในการพัฒนาการเรียนรู้พฤติกรรมจริยธรรมตามแนวคิดนี้มี  4 ขั้นตอนคือ
:ขั้นตอนที่ 1 กระบวนการตั้งใจ เป็นการที่เด็กได้เห็นตัวแบบที่น่าสนใจ ดังนั้นตัวแบบจึงต้องแสดงพฤติกรรมจริยธรรมที่ชัดเจน     ไม่ซับซ้อน และเมื่อเด็กสนใจแสดงพฤติกรรมที่ดีจะต้องมีการเสริมแรง เพื่อให้เด็กเกิดพฤติกรรมซ้ำ


:ขั้นตอนที่ 2 กระบวนการเก็บจำ เมื่อเด็กสังเกตเห็นตัวแบบแสดงพฤติกรรมที่ดี และได้รับการยกย่องชมเชย และได้เห็นตัวแบบแสดงพฤติกรรมบ่อย ๆ เด็กเกิดความสนใจต้องการแสดงพฤติกรรมเช่นเดียวกับตัวแบบ เด็กจะหาวิธีเก็บและจดจำข้อมูลการแสดงพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับสถานการณ์
:ขั้นตอนที่ 3 กระบวนการกระทำ เมื่อเด็กจดจำข้อมูลได้และเก็บไว้ในความคิดเมื่อเผชิญสถานการณ์ เด็กจะนำข้อมูลมาแสดงเป็นพฤติกรรมที่ใกล้เคียงกับพฤติกรรมของตัวแบบ เพื่อให้ได้ผลเหมือนตัวแบบ
:ขั้นตอนที่ 4 กระบวนการจูงใจ เมื่อเด็กสังเกตตัวแบบและจดจำข้อมูลไว้ และเมื่อเผชิญสถานการณ์ ถ้าหากมีการจูงใจและเด็กคาดว่าจะได้รับการเสริมแรง เด็กจะแสดงพฤติกรรมออกมา ดังนั้นถ้าหากเด็กแสดงพฤติกรรมดี จึงควรได้รับผลในลักษณะการเสริมแรงเหมือนตัวแบบได้รับ การจูงใจจึงเป็นสิ่งสนับสนุนให้เด็กแสดงพฤติกรรมจริยธรรม
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปการ์ตูนเคลื่อนไหวได้
ประเมิน
ประเมินอาจารย์        อาจารย์สอนสนุกเข้าใจง่าย 
ประเมินเพื่อน            เพื่อนตั้งใจเรียน มาตรงเวลา
ประเมินตนเอง          ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน มาเรียนตรงเวลา

การเรียนการสอนครั้งที่ 9

การเรียนการสอนครั้งที่ 9

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปการ์ตูนเคลื่อนไหวได้

วันอังคาร ที่ 13 เดือน มีนาคม  พ.ศ.2561


วันนี้มีการสอบเก็บคะแนน

1.เรื่องพัฒนาการของเด็กแรกเกิดถึง 6 ปี
2.เรื่องพฤติกรรมของเด็กปฐมวัย
3.เรื่องการอบรมเลี้ยงดู
4.เรื่องส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัยทั้ง 4 ด้าน

4 ข้อ 20 คะแนน 
เวลาทำข้อสอบ 2 ชั่วโมง
12.00-14.00 น.


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปการ์ตูนเคลื่อนไหวได้

การเรียนการสอนครั้งที่ 8

การเรียนการสอนครั้งที่ 8

4.การอบรมเลี้ยงดูแบบปล่อยปะละเลย

ภาพการเรียนการสอน




ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปการ์ตูนเคลื่อนไหว


วันอังคาร ที่ 6 เดือน มีนาคม  พ.ศ.2561

วันนี้อาจารย์ได้ให้แสดงบทบาทสมมุติ คือเรื่อง การอบรมเลี้ยงดูเด็ก
มี 4 แบบ คือ
1.การอบรมเลี้ยงดูแบบรักมากถนุดถนอม
2.การอบรมเลี้ยงดูแบบประชาธิปไตร
3.การอบรมเลี้ยงดูแบบคาดหวัง













ประเมิน
ประเมินอาจารย์        อาจารย์สอนสนุกเข้าใจง่าย
ประเมินเพื่อน            เพื่อนตั้งใจเรียน มาตรงเวลา
ประเมินตนเอง          ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน มาเรียนตรงเวลา




วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

การเรียนการสอนครั้งที่ 7

วันอังคาร ที่ 20 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561


เช้าวันนี้อาจารย์ได้คุยกับนักศึกษาเรื่องการให้ไปสังเกตการเรียนการสอนของเด็ก ว่าเราจะไปที่ไหนกัน และได้สรุปว่า จะไปที่มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ซ.เสือใหญ่
และต่อมาอาจารย์ก็ได้ขึ้น บทที่ 5 การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย

























ประเมิน
ประเมินอาจารย์        อาจารย์สอนสนุกเข้าใจง่าย
ประเมินเพื่อน            เพื่อนตั้งใจเรียน มาตรงเวลา
ประเมินตนเอง          ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน มาเรียนตรงเวลา











การเรียนการสอนครั้งที่ 6

วันอังคาร ที่ 13 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561




สัปดาห์นี้อาจารย์ก็ได้ให้นำเสนองานต่อจากอาทิตที่แล้ว โดยเนื้อหาก็คือเรื่องทฤษฎีพัฒนาการ กับเรื่องความต้องการของเด็กปฐมวัย













ประเมิน

ประเมินอาจารย์        อาจารย์สอนสนุกเข้าใจง่าย
ประเมินเพื่อน            เพื่อนตั้งใจเรียน มาตรงเวลา
ประเมินตนเอง          ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน มาเรียนตรงเวลา

การเรียนการสอนครั้งที่ 5

วันอังคาร ที่ 6 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561


การเรียนการสอนวันนี้ อาจารย์ได้ให้ออกมานำเสนองานที่ได้มอบหมายไป โดยมีทั้งบทความ และงานกลุ่ม เรื่องทฤษฎีพัฒนาการ รวมถึงเรื่องความต้องการของเด็กปฐมวัย























ประเมิน

ประเมินอาจารย์        อาจารย์สอนสนุกเข้าใจง่าย
ประเมินเพื่อน            เพื่อนตั้งใจเรียน มาตรงเวลา
ประเมินตนเอง          ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน มาเรียนตรงเวลา

วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

การเรียนการสอนครั้งที่ 4

วันที่ 30/1/2561

ความต้องการของเด็กปฐมวัยมีอะไรบ้าง

สวัสดีเช้าวันอังคารที่สดใส วันนี้เรียนวิชาการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย อาจารย์ให้อ่านบทความของแต่ล่ะคน









อันนี้เป็นบรรยากาศในการฟังบทความของเพื่อนแต่ล่ะคนนะค่ะ  แต่ล่ะคนก็จพูดเนื้อหาสาระในการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย บทความดิฉันก็จะเกี่ยวกับอาหารแต่ล่ะช่วงวัย  อาจารย์ก็จะคอยคอมเม้นตามบทความต่างๆ
ช่วยเพิ่มข้อมลูที่เข้าใจง่ายให้กับนักศึกษา








ก่อนหมดชั่วโมงอาจารย์ได้แบ่งกลุ่มออกเป็น 3 กลุ่ม ให้วิเคระห์และตอบคำถามลงในกระดาษที่แจกให้ ตามหัวข้อแต่ล่ะอันตามความเข้าใจของเรา





ประเมินอาจารย์   อาจารย์คอยให้ความรู้เพิ่มเติมดี แถมเข้าใจง่าย


ประเมินเพื่อน   เพื่อนตั้งใจฟังและตอบคำถามดี บรรยากาศสนุกสนาน เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ


ประเมินตนเอง   มาเรียนตรงเวลา ตั้งใจฟังเพื่อนเล่าบทความและช่วยเพื่อนตอบคำถาม













วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561

การเรียนการสอนครั้งที่ 3

 ทฤษฎีที่เกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย


วันที่ 23/1/61


เช้าอากาศแสนสดใส บรรยากาศดี วันนี้เรียนวิชาการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย อาจารย์สอนถึงบทที่2 แล้ว ทฤษฎีที่เกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย








บทที่ 2 ทฤษฎีที่เกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย

ทฤษฎีพัฒนาการของกีเซล (Gesell)
             
               จากแนวความคิดของ อาร์โนลด์ กีเซล (Arnold Gesell) สามารถนำมาอธิบายพัฒนาการของมนุษย์ในด้านการเจริญเติบโตพัฒนาการทางร่างกาย และสามารถนำไปเชื่อมโยงกับพัฒนาการทางสติปัญญาได้อีกด้วย นอกจากนั้น อาร์โนลด์ กีเซล (Arnold Gesell) ได้เขียนหนังสือขึ้น 2 เล่ม คือ The First Five Year of Life และ The Child from Five to Ten ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้มีบทบาทมากต่อการจัดกลุ่มเด็กเข้าศึกษาในชั้นอนุบาลศึกษาและชั้นประถมศึกษา เกณฑ์มาตรฐานใช้เป็นแบบทดสอบมาตรฐานในการทำนายพฤติกรรม วิเคราะห์กลุ่ม และทำวิจัย เพื่อบอกลักษณะพัฒนาการของเด็ก โดยใช้อายุทางปฏิทินเป็นเกณฑ์ นอกจากนี้มีบทบาทมากในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับเด็ก โดยการจัดกิจกรรมนั้นต้องให้เหมาะสมกับวุฒิภาวะของเด็กแต่ละคน 
ทฤษฎีพัฒนาการทางบุคลิกภาพของซิกมันต์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud)      
              ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud. 1856-1939)  ได้ให้ความสำคัญของเด็กวัย 5 ปีแรกของชีวิต ซึ่งเป็นวัยที่สำคัญที่สุดของชีวิตเขาเชื่อว่าวัยนี้เป็นรากฐานของพัฒนาการด้านบุคลิกภาพ และบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเด็กที่สุดคือ แม่จะเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างสูงต่อบุคลิกภาพและสุขภาพจิตของเด็ก ฟรอยด์ได้พัฒนาทฤษฎีที่เกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยรุ่น โดยให้ชื่อว่าทฤษฎีพัฒนาการทางเพศ (Psychosexual Development) ซึ่งทฤษฎีนี้เชื่อว่า พัฒนาการทางบุคลิกภาพของเด็กแต่ละคนจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงชีวภาพของร่างกาย โดยร่างกายจะเปลี่ยนแปลงบริเวณแห่งความพึงพอใจเป็นระยะ ๆ ในช่วงอายุต่าง ๆ กัน และถ้าบริเวณแห่งความพึงพอใจต่าง ๆ นี้ได้รับการตอบสนองเต็มที่ เด็กจะมีพัฒนาการที่ดีและสมบูรณ์ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่ได้รับการตอบสนองเต็มที่ก็จะทำให้เกิดการสะสมปัญหาและแสดงออกเมื่อเด็กโตขึ้น
             
 ทฤษฎีพัฒนาการทางบุคลิกภาพของอิริคสัน (Erikson)                อิริคสัน (Erikson อ้างถึงใน สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์, 2547 : 46-49)  เป็นนักจิตวิทยาในกลุ่มจิตวิเคราะห์ มีอาชีพเป็นจิตแพทย์ ในปี 1955 ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานของ The Division of Development Psychology อิริคสัน (Erikson) ได้เน้นความสำคัญของเด็กปฐมวัยว่าเป็นวัยที่กำลังเรียนรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้นสำหรับเด็ก บุคลิกภาพจะสามารถพัฒนาได้ดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละช่วงของอายุเด็กประสบสิ่งที่พึงพอใจตามขั้นพัฒนาการต่าง ๆ ของแต่ละวัยมากเพียงใด ถ้าเด็กได้รับการตอบสนองต่อสิ่งที่ตนพอใจในช่วงอายุนั้น เด็กก็จะมีพัฒนาการทางบุคลิกภาพที่ดีและเหมาะสมและพัฒนาครอบคลุมถึงวัยผู้ใหญ่ด้วย ซึ่งพัฒนาการของมนุษย์มี 8 ขั้น คือ
                  1. ขั้นความเชื่อใจหรือขาดความเชื่อใจ (Trust Versus Mistrust)
                  2. ขั้นการควบคุมด้วยตนเองหรือสงสัย/อาย (Autonomy Versus Doubt or Shame)
                   3. ขั้นการริเริ่มหรือรู้สึกผิด (Initiative Versus Guilt) 
                     4. ขั้นการประสบความสำเร็จ ความขยันหมั่นเพียรหรือรู้สึกด้อย (Mastery Versus Inferiority)
                     5. ขั้นการรู้จักตนเองหรือความสับสนไม่รู้สึกตนเอง (Identity Versus Diffustion : Fidelity)
                    6. ขั้นรู้สึกโดดเดี่ยว (Intimacy Versus Isolation)
                    7. ขั้นความรับผิดชอบแบบผู้ใหญ่หรือความรู้สึกเฉื่อยชา (Cenerativity Versus Aborption)
                    8. ขั้นความมั่งคั่ง สมบูรณ์ หรือหมดหวัง ทอดอาลัยชีวิต (Integrity Versus Despair)
                   
ทฤษฎีการเรียนรู้ของบรูเนอร์ (Jerome S. Bruner)                บรูเนอร์ (Bruner, 1956)   เป็นนักจิตวิทยาในยุคใหม่  ชาวอเมริกันคนแรกที่สืบสานความคิดของเพียเจต์ โดยเชื่อว่าพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กเกิดจากกระบวนการภายในอินทรีย์ (Organism) เน้นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมที่แวดล้อมเด็ก ซึ่งจะพัฒนาได้ดีเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก และชี้ให้เห็นว่าการศึกษาว่าเด็กเรียนรู้อย่างไร ควรศึกษาตัวเด็กในชั้นเรียนไม่ควรใช้หนูและนกพิราบ ทฤษฎีของบรูเนอร์เน้นหลักการ กระบวนการคิด ซึ่งประกอบด้วย ลักษณะ 4 ข้อ คือ แรงจูงใจ (Motivation) โครงสร้าง (Structure) ลำดับขั้นความต่อเนื่อง (Sequence) และการเสริมแรง (Reinforcement)
                สำหรับในหลักการที่เป็นโครงสร้างของความรู้ของมนุษย์ บรูเนอร์แบ่งขั้นพัฒนาการคิดในการเรียนรู้ของมนุษย์ออกเป็น 3 ขั้นด้วยกัน ซึ่งคล้ายคลึงกับขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ ได้แก่
                        1. ขั้นการกระทำ (Enactive Stage) เด็กเรียนรู้จากการกระทำและการสัมผัส
                        2. ขั้นคิดจินตนาการหรือสร้างมโนภาพ (Piconic Stage) เด็กเกิดความคิดจากการรับรู้ตามความเป็นจริง และการคิดจากจินตนาการด้วย
                        3. ขั้นใช้สัญลักษณ์และคิดรวบยอด (Symbolic Stage) เด็กเริ่มเข้าใจเรียนรู้ความ สัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่พบเห็น 
ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) ของแบนดูรา              อัลเบิร์ต แบนดูรา (Albert Bandura, 1986)  นักจิตวิทยาร่วมสมัย (An Contemporary Phychologist) ณ มหาวิทยาลัยแสตนด์ฟอร์ด (Stanford University) อัลเบิร์ต แบนดูรา กล่าวว่า การเรียนรู้ของมนุษย์นั้นเกิดจากพฤติกรรมบุคคลนั้นมีการปฏิสัมพันธ์ (Interaction) อย่างต่อเนื่องระหว่างบุคคลนั้น (Person) และสิ่งแวดล้อม (Environment) ซึ่งทฤษฎีนี้เน้นบุคคลเกิดการเรียนรู้โดยการให้ตัวแบบ (Learning Through Modeling) โดยผู้เรียนจะเลียนแบบจากตัวแบบ และการเลียนแบบนี้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยการสังเกตพฤติกรรมของตัวแบบ การสังเกตการณ์ตอบสนองและปฏิกิริยาต่าง ๆ ของตัวแบบ สภาพแวดล้อมของตัวแบบ ผลการกระทำ คำบอกเล่า และความน่าเชื่อถือของตัวแบบได้ การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจึงเกิดขึ้นได้ ซึ่งกระบวนการต่าง ๆ ของการเลียนแบบของเด็ก ประกอบด้วย 4 กระบวนการ คือ
               1. กระบวนการดึงดูดความสนใจ (Attentional Process)
              2. กระบวนการคงไว้ (Retention Process)
               3. การะบวนการแสดงออก (Motor Reproduction Process)
               4. กระบวนการจูงใจ (Motivational Process)
               แนวคิดของแบนดูรา เน้นพฤติกรรมใด ๆ ก็ตามสามารถปรับหรือเปลี่ยนได้ตามหลักการเรียนรู้ เป็นการกระตุ้นเด็ก มีการเรียนรู้พัฒนาการทางด้านสังคม โดยใช้การสังเกตตัวแบบที่เด็กเห็น เด็กมีระดับการเรียนรู้แล้ว เด็กจะมีทางเลือกใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อเก็บสะสมพฤติกรรมที่เป็นไปได้เอาไว้ และยิ่งกว่านั้นตัวแปรจะช่วยให้เขาเลือกสถานการณ์ที่ดีที่สุดไว้ใช้ปฏิบัติต่อไป
ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบอร์ก (Lawrence Kohlberg)              ลอเรนส์ โคลเบอร์ก (Lawrence Kohlberg อ้างถึงใน สิริมา  ภิญโญอนันตพงษ์, 2547 : 52-54จบปริญญาโทและเอกที่มหาวิทยาลัยชิคาโก (ChicagoUniversity) และเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ณ ที่นี้เขาได้รับทุนทำวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการทางจริยธรรม ซึ่งเขาได้ศึกษาการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมของเด็กวัยรุ่นตอนต้นและวัยผู้ใหญ่ เป็นการศึกษาแบบระยะยาว (Longitudinal Study) และได้ตั้งทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรม ประกอบด้วย ขั้นพัฒนาการให้เหตุผลเชิงจริยธรรม 6 ขั้น มีระดับความคิดทางจริยธรรม 3 ระดับ ดังนี้
                       1. ระดับเริ่มมีจริยธรรม (2-10 ปี)  มีลักษณะทำตามที่สังคมกำหนดว่าดีหรือไม่ ส่วนใหญ่จะมองผลของการกระทำว่าได้รับความเจ็บปวด หรือความพึงพอใจ และจะทำตามกฎเกณฑ์ที่มีผู้มีอำนาจเหนือตนกำหนดไว้เป็น
                                   ขั้นที่ 1    เด็กจะเคารพกฎเกณฑ์เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ
                                   ขั้นที่ 2    ใช้หลักการแสวงหารางวัล เลือกทำแต่สิ่งที่นำความพอใจมาให้ตน    เท่านั้น การมองความสัมพันธ์ของคนยังแคบ มีลักษณะการแลกกัน  ถือเกณฑ์กรรมสนองกรรมอย่าตีคนอื่น เพราะเขาจะตีเราตอบ
                         2. ระดับมีจริยธรรมตามกฎเกณฑ์ มีลักษณะคล้ายตามประเพณีนิยม (10-16 ปี)
                                   ขั้นที่ 3    เกณฑ์การตัดสินใจความถูกผิดอยู่ที่ผู้อื่นเห็นชอบการทำดี คือ ทำ     สิ่งที่ทำให้ผู้อื่นพอใจ ช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อให้สังคมยอมรับ
                                   ขั้นที่ 4    เกณฑ์การตัดสินความถูกผิดอยู่ที่ความเป็นระเบียบของสังคม และ  การกระทำตามกฎเกณฑ์ของสังคม ทำตามหน้าที่ของตน รักษากฎเกณฑ์
                         3. ระดับมีจริยธรรมของตนเอง มีลักษณะพยายามกำหนดหลักการทางจริยธรรมที่ต่างไปจากกฎเกณฑ์ของสังคม (16 ปีขึ้นไป)
                                   ขั้นที่ 5    คิดถึงกฎที่จะเป็นประโยชน์สังคม คำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคล ยอมรับ     กฎเกณฑ์ส่วนรวม
                                   ขั้นที่ 6    คำนึงถึงหลักจริยธรรมตัดสินความถูกผิดจากจริยธรรมที่ตนยึดถือ      จากสามัญสำนึกของตนเองจากเหตุผล คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน ไม่คล้อยตามสังคม                      
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget)               เพียเจต์ (Jean Piaget, 1969)  นักจิตวิทยาชาวสวิสที่เป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญในทฤษฎีพัฒนาการทางด้านสติปัญญา หนังสือและบทความทั้งหมดซึ่งเป็นผลงานของเขาเกี่ยวข้องกับความเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก ซึ่งทฤษฎีนี้เน้นถึงความสำคัญของความเป็นมนุษย์ อยู่ที่มนุษย์มีความสามารถในการสร้างความรู้ผ่านการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ซึ่งปรากฏอยู่ในตัวเด็กตั้งแต่แรกเกิด ความสามารถนี้คือการปรับตัว (Adaptation) เป็นกระบวนการที่เด็กสร้างโครงสร้างตามความคิด (Scheme) โดยการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับสิ่งแวดล้อม 2 ลักษณะ คือ เด็กพยายามปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดบ้อม โดยซึมซับประสบการณ์ (Assimilation) และการปรับโครงสร้างสติปัญญา (Accommodation) ตามสภาพแวดล้อมเพื่อให้เกิดความสมดุลในโครงสร้างความคิด ความเข้าใจ (Equilibration) ทั้งนี้ เพียเจต์ได้แบ่งลำดับขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาไว้ 4 ขั้นดังนี้
                1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensorimotor Stage)
                 2. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) 
                  3. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยรูปธรรม (Concrete Operational Stage)
                 4. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) 
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของโฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner’s View)             
                      จากทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการที่ได้นำเสนอไว้ดังกล่าวนั้น สรุปได้ว่า พัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่ปฏิสนธิจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นพัฒนาการที่มีกระบวนการต่อเนื่องมีลำดับขั้นตอน ได้แก่ ทฤษฎีพัฒนาการของกีเซล ทฤษฎีบุคลิกภาพหรือทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ และอิริคสัน ทฤษฎีการเรียนรู้ของบรูเนอร์ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมของแบนดูรา ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบอร์ก และทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ ซึ่งทุกทฤษฎีอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
อาจารย์ให้ดูหนังฟ้ามีตา


ให้วิเคาระห์ดูการเลี้ยงดูลูกของพ่อและแม่ในเรื่องนี้ว่าพวกเขาสอนลูกเป็นยังไง และควรแก้ไขอย่างไรเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้


และอาจารย์ให้จับกลุ่มทำงาน


ประเมินอาจารย์  อาจารย์สอนเข้าใจดี มีหนังให้ดูเป็นแบบอย่าง ทำให้รู้สึกไม่น่าเบื่อ และมีแต่เสียงหัวเราะ

ประเมินตนเอง มาเรียนตรงเวลา ตั้งใจเรียน ไม่พูดขนาดอาจารย์สอน

ประเมินเพื่อน  บรรยากาศน่าเรียน สนุกสนาน มีเสียงหัวเราะ